สถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำ"เกาะสมุย"
วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553
C.N.BLUE

C.N.BLUE เป็นศิลปินหน้าใหม่จากค่าย FnC Music {ค่ายเดียวกับ FTIsland}
ซึ่งตอนนี้ได้ทำการเดบิวต์ที่ญี่ปุ่นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา
ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คน คือ จองยงฮวา(ร้องนำ) , ลีจงฮยอน(ร้องนำ&กีต้าร์) ,
ควอนกวางจิน(เบส) และ คังมินฮยอก(กลอง)
แต่เดิมแล้วC.N.Blueมีสมาชิก5คน ซึ่งสมาชิกคนที่ห้าในตำแหน่งกีต้าร์คือซงซึงฮยอน
ที่ตอนนี้ได้ไปเข้าร่วมวง FTIsland แทนวอนบินที่ออกไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
แนวเพลงของพวกเขาเป็นแนวร็อค อินดี้ แบบฉบับเพลงใต้ดินของญี่ปุ่น
ในอัลบั้มเปิดตัวของพวกเขาประกอบไปด้วยเพลง5เพลงคือ Now or Never , Let's go crazy ,
Love Revolution , Just please และ Teardrop in the rain ซึ่งเป็นเพลงภาษาอังกฤษทั้งสิ้น
โดยเฉพาะเพลง Love Revolution ที่ยงฮวา นักร้องนำได้แสดงความสามาถนในการเขียนเนื้อร้องเอง
***ส่วนชื่อกลุ่มแฟนคลับ "APLUS" เพราะว่ามีเลือดกรุ๊บเอ กันเป็นส่วนใหญ่***
ประวัติ อาถรรพ์ที่ดินเซ็นทรัลเวิลด์

สี่แยกมหาเทพ
กาลหนึ่งของราชประสงค์ ณ ที่ที่ปัจจุบันคือห้างยักษ์-เซ็นทรัลเวิลด์ แต่ก่อนเป็นวังเพชรบูรณ์ในรัชกาลที่ 4 และยังเป็นที่พื้นที่ที่มีคลองตัดผ่านถึงสองเส้น ซึ่งยุคนั้นยังเป็นป่ารกชัฏ ทำให้สี่แยกแห่งนี้เป็นพื้นที่สัญจรมาแต่อดีต คนโบราณเชื่อว่าบริเวณที่เป็นทางแยกใหญ่ๆ มักจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทวดานางไม้สิงสถิตอยู่ อีกทั้งเมื่อพื้นที่วังซึ่งเป็นของกษัตริย์ ถูกสามัญชนรุกล้ำโดยมิได้บอกกล่าว จึงทำให้ราชประสงค์เป็นที่ ‘แรง’ ผู้ที่คิดจะทำธุรกิจย่านนี้ล้วนเคยได้รับบทเรียน
“ตอนหลังมีการสร้างโรงแรมเอราวัณ พอสร้างขึ้นมาก็มีเหตุการณ์ร้ายอยู่เรื่อยเลย กระทั่งมีพราหมณ์คนหนึ่งมีนิมิต บอกว่า ทางนั้นขอให้สร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประทับที่นั่น จึงตัดสินใจสร้างพระพรหมขึ้นมา เพราะเป็นเทพที่ใหญ่ที่สุด พอสร้างขึ้นมา โรงแรมเอราวัณก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนก็เชื่อว่าการสร้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ สถานที่ตรงนี้ จะช่วยทำให้สถานที่เจริญขึ้น”
วิศิษฎ์ เตชะเกษม สถาปนิกและผู้ศึกษาวัฒนธรรมจีนและฮวงจุ้ย อธิบายและเล่าต่อว่า หลังจากนั้น อาคารอื่นๆ ก็ตามมา ห้างไดมารูก็มาตั้งอยู่ที่ที่เป็นเซ็นทรัลเวิลด์ในปัจจุบัน พอสร้างขึ้นก็มีเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นมาตลอด กระทั่งไดมารูต้องเลิกกิจการไป หยุดไปอยู่พักหนึ่ง ตอนหลังมีการสร้างเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ขึ้นมา ซึ่งก็มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นอีกเช่นกัน ผู้สร้างเวิลด์เทรดคือ วิรุฬ เตชะไพบูลย์ ฝันว่าเคยมีพระตรีมูรติสร้างอยู่ตรงนี้
“พระตรีมูรตินี้สร้างในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อเป็นการปราบวิญญาณร้ายทั้งหลายสมัยที่ทำสงครามกับพม่า องค์พระตรีมูรติสืบเนื่องมาถึงรัชกาลที่ 4 ก็ทรงเอามาประทับไว้ที่วังเพชรบูรณ์ ตอนหลังทราบว่าเทพองค์นี้ถูกฝรั่งเช่าไป คนที่เช่าไปทุกคน ถูกวิญญาณร้ายรังควานตลอด กระทั่งฝรั่งที่เช่าไปต้องเอากลับคืนมา เมื่อสืบทราบได้ว่าอยู่ที่ไหน คุณวิรุฬจึงได้เช่ากลับคืนมาไว้ที่เวิลด์เทรดฯ หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็เป็นไปด้วยดี ไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น”
แต่ถึงกระนั้น เวิลด์เทรดก็ใช่ว่าจะรุ่งเรืองโดดเด่น จนมีซินแสบางคนทักว่า อำนาจบารมีของพระตรีมูรติคงสู้กับพระพรหมของโรงแรมเอราวัณไม่ได้ หลังจากเวิลด์เทรดเปลี่ยนโฉมเป็นเซ็นทรัลเวิลด์ของตระกูลจิราธิวัฒน์ จึงได้มีการสร้างพระพรหมและพระพิฆเนศเพิ่มเติมบริเวณตรงข้ามบิ๊กซี
เรื่องยังไม่หมดเพียงเท่านี้ วิศิษฎ์ ยังเล่าอีกว่า เมื่อมีการสร้างโรงพยาบาลตำรวจก็มีเหตุภายในอยู่เป็นระยะ จนมีคนบอกว่าให้ตั้งพระวิษณุกรรมขึ้น จากนั้นเหตุการณ์ก็ดีขึ้น จนมาสร้างเกษรพลาซ่าก็มีเรื่องอีก มีคนบอกให้สร้างพระนางลักษมีที่อยู่ด้านบน เพื่อจะได้เข้ากับพระพรหมได้ พอหลังเกิดเหตุไฟไหม้โรงแรมอินเตอร์คอนฯ ทางโรงแรมจึงสร้างรูปปั้นนารายณ์ทรงครุฑ ห้างโซโก้ก็สร้างพระอินทร์ขึ้น จึงเป็นเหตุให้สี่แยกราชประสงค์กลายเป็นสี่แยกมหาเทพไปในที่สุด
สี่แยกมหาเศรษฐี
ไม่เพียงแต่ราชประสงค์จะเป็นสี่แยกมหาเทพเท่านั้น บรรดาตระกูลมหาเศรษฐีที่โยงใยกับธุรกิจการเมืองอีกหลายตระกูลก็ยังมาประทับทรงหาเงินในย่านนี้มาหลายนาน เพราะหลังจากที่โรงแรมเอราวัณเข้ามาบุกเบิกด้วยทุนรอนและอำนาจแห่งพระพรหม เจ้าสัวอีกหลายคนต่างก็เข้ามาจับจองพื้นที่นี้ต่อๆ กันมา กระทั่งกลายเป็นแหล่งธุรกิจสำคัญดังเช่นทุกวันนี้ เมื่อดูตามเส้นเวลาคร่าวๆ ของอาคารธุรกิจบางแห่งจะเห็นพัฒนาการของย่านนี้ที่ค่อยๆ ฟูมฟักมาอย่างชัดเจน-
โรงแรมเอราวัณ เปิดปี 2496 ห้างไทยไดมารู เปิดปี 2507 ตามด้วยเซ็นทรัล ราชประสงค์ในปี 2507 เช่นกัน แต่ปิดตัวไปเพราะสู้ไทยไดมารูไม่ได้ พอถึงปี 2516 สยามเซ็นเตอร์ก็เปิดตามมา เวิลด์เทรดเปิดเฟสแรกปี 2532 และเฟสสองในปี 2536 โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ เปิดปี 2534 ตามมาด้วยห้างเกษรเปิดปี 2538 สยามดิสคัฟเวอรี่ เปิดปี 2540 พารากอน เปิดปี 2548 พอในปี 2550 เซ็นทรัลเวิลด์ก็เปิดตามมาติดๆ น้องคนสุดท้องในย่านนี้จึงเป็นดิจิตอลเกทเวย์ ที่เปิดในปี 2552
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไรไม่ทราบได้ ที่ธุรกิจยักษ์ๆ ย่านนี้มีความเกี่ยวพันกับพรรคประชาธิปัตย์หรือไม่ก็สื่อบางสำนักที่ นปช. บอกว่าไม่เป็นกลาง
ไล่เรียงจาก ตระกูลศรีวิกรม์ เจ้าของเกษรพลาซ่า คนตระกูลนี้เกี่ยวพันกับพรรคประชาธิปัตย์มานาน ปัจจุบันนี้ คนตระกูลศรีวิกรม์คนหนึ่งก็เป็น ส.ส. ของพรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผม
ขยับไปฝั่งตรงข้าม เซ็นทรัล เวิลด์ ของ ตระกูลจิราธิวัฒน์ ก็พลอยโดนหางเลขพิษการเมืองกับเขาด้วย จิราธิวัฒน์คือผู้ถือหุ้นใหญ่ของโพสต์พับลิชชิ่ง เจ้าของหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์และบางกอกโพสต์ ทั้งยังเป็นสำนักข่าวที่เพิ่งจะได้สัมปทานทำข่าวกับเอ็นบีทีไปเมื่อไม่นานนี้
ยังมีศูนย์การค้าเพนนินซูล่าที่อยู่ติดๆ กับโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ที่เจ้าของมีนามสกุล สาลีรัฐวิภาค ซึ่งเกี่ยวดองกับ ตระกูลปิยะอุย แห่งโรงแรมดุสิตธานี ซึ่งสนิทชิดเชื้อกับประธานองคมนตรี
แต่ที่ต้องเอาเท้าก่ายหน้าผากคงหนีไม่พ้น พงศ์เทพ เทพกาญจนา ผู้สนิทชิดเชื้อกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั่นเป็นเพราะโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ เป็นของพ่อตาแม่ยายของพงศ์เทพนั่นเอง
ไหนจะ ตระกูลอัมพุช เจ้าของสยามพารากอน สยามดิสคัฟเวอรี่ และสยามเซ็นเตอร์ ที่พัฒนาพื้นที่ทองคำแห่งนี้ให้รุ่งเรืองควบคู่มากับตระกูอื่นๆ ไหนจะน้องใหม่ล่าสุดอย่างดิจิตอลเกทเวย์ของเจ้าสัว เจริญ สิริวัฒนภักดี ที่เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ทั้งหมดนี้ล้วนต้องพลอยฟ้าพลอยฝนถูกการเมืองเล่นงานพอๆ กัน
แต่อย่างว่า ตามประสาธุรกิจการเมืองแบบไทย มหาอำนาจทางธุรกิจใหญ่ๆ เหล่านี้ ล้วนเกี่ยวข้องกับการเมืองในทางใดทางหนึ่ง ทั้งในทางปิดและทางเปิดอยู่แล้ว เมื่อทุกอย่างประจวบเหมาะก็หนีผลจากการเมืองไม่พ้น
สี่แยกการเมือง
“บริเวณนี้เป็นสี่แยกใหญ่ ความเชื่อข้อหนึ่งคือบริเวณสี่แยกมักจะมีพลังเยอะ เวลาที่เราสร้างตึกขึ้นมาทีหลัง มักจะวางอะไรไว้เพื่อแก้ให้ตัวเองหลุดรอดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งที่มีพลังอยู่ฝั่งตรงกันข้าม” ธิตินัย พันธุ์วิชาติกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ย อธิบาย
“ลักษณะของประตูน้ำ เซ็นทรัลเวิลด์ ก็เหมือนกัน มันเป็นจุดที่ดึงดูดคนอยู่แล้ว ความบังเอิญในแง่การเมือง มองได้ว่าจุดนั้นเป็นจุดที่สร้างความเสียหายได้มากก็เลยหันมายึดพื้นที่ตรงนั้น เพราะจะสร้างความวุ่นวายได้มากที่สุด”
ทั้งธิตินัยและวิศิษฎ์เห็นคล้ายคลึงกันว่าเป็นเรื่องของความบังเอิญมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของฮวงจุ้ยหรือความแรงของพื้นที่ ที่ทำให้กลุ่ม นปช. เลือกสี่แยกราชประสงค์เป็นพื้นที่ชุมนุมเพื่อกดดันรัฐบาล แต่วิศิษฎ์ยังมองในแง่พิชัยสงครามจีนด้วยว่า
ไม่ว่าจะเป็นความบังเอิญ ความจงใจ หรือแรงดึงดูดของอำนาจที่มองไม่เห็นก็ตาม ที่ทำให้ราชประสงค์กลายเป็นดังที่เป็นอยู่ตอนนี้ แต่วันนี้ประวัติศาสตร์การเมืองไทยคงต้องบันทึกเพิ่มเติมว่า นอกจากราชประสงค์จะเป็นสี่แยกมหาเทพ สี่แยกมหาเศรษฐี...
ขณะนี้ยังได้กลายเป็นสี่แยกการเมืองไปแล้ว หลังจากที่ถูกผูกขาดโดยถนนราชดำเนินมาหลายสิบปี
ความรู้เรื่องแปลกๆ
2.เสียงกรนที่ดังที่สุด 87.5เดซิเบล
3.พอล แมค์คาทีเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลง แฮปเบิร์ดเดย์
4.พระเจ้าหลุยส์ที่ สิบสี่ อาบน้ำ สาม ครั้งในชีวิต
5.ผู้หญิงที่เกาะฮาวายที่ทัดดอกไม้ที่หูข้างซ้าย แสดงว่ามีเจ้าของแล้ว
6.ผู้หญิง 3.9% ไม่ชอบใส่ กกน.
7.เด็กนักเรียนอายุ สิบห้า ปีขึ้นไปในบังคลาเทศจะถูกจับถ้าโกงข้อสอบ
8.เมื่อคุณจามหัวใจจะหยุดเต้นเสี้ยววินาที
9.ชื่อที่โหลที่สุดในโลกคือ Mohammed
10.ลิปสติกส่วนใหญ่มีส่วนประกอบของเกล็ดปลา
11เพียงใส่หูฟังแค่ชั่วโมงเดียวทำให้แบคทีเรียในหูเพิ่มขึ้น700เท่าตัว
12.สถิติจูบได้นานที่สุดในโลกเป็นของหลุยซา แอลเมโดวาร์ วัย 19 ปีกับแฟนหนุ่มริชแลงเลย์วัย 22 ปีพวกเขาทำสถิติได้ 30.59นาที
13.โดนัลด์ ดักส์ ถูกแบนในฟินแลนด์เพราะไม่ใส่ กกน
14.ตอนที่F4ไปเปิดคอนเสิร์ตที่อินโดนิเซียทำให้เด็กนักเรียนเกือบร้อยคนต้องเรียนซ้ำชั้นเพราะไม่ได้ไปลงทะเบียนเรียนเทอม2
15.Hippopotomontstrsesquippedaliophobia คือ ชื่ออาการของคนที่หวาดกลัว
16.อูฐหมุนหัวได้180องศา
กินเพื่อสุขภาพ
เฉลย ไม่จริง แต่แก้อาการเมาค้างได้โดยการ ดื่มน้ำกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง เพราะกล้วยจะทำให้กระเพาะของเราสงบลง ส่วนน้ำ ผึ้งจะเป็นตัวช่วยหนุนเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วย ปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา ทำให้อาการเมาหายไป ได้
2. เมื่อ เป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง จริงหรือ
เฉลย จริง เพราะในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียม สูง เมื่อเวลาเป็นไข้ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การกินอาหารที่มีโพแทสเซียม สูง จะส่งผลให้เกิดอาการชักได้
3. มัน ฝรั่งช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลงได้ จริงหรือ
เฉลย จริง เพราะในมันฝรั่งมีสารเคมีที่ เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่ชื่อว่า คูคัวไมน์ส มีสรรพคุณในการควบคุมความดันโลหิต ให้ ต่ำลง และมันยังรักษาโรคที่ลึกลับที่เรียกว่า โรคนอนหลับ ได้อีก ด้วย
4. ดื่มนม ร้อนก่อนนอนจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ทางเพศได้ จริง หรือ
เฉลย ไม่จริง แต่การดื่มนมร้อนก่อนนอนจะช่วยให้นอนหลับสบาย ยิ่งขึ้น เพราะนมร้อนจะส่งเสริมให้สมองหลั่งสาร
5. การเคี้ยวหมาก ฝรั่งช่วยเพิ่มฮอร์โมนเพศชายได้ จริงหรือ
เฉลย ไม่จริง แต่การเคี่ยวหมากฝรั่งช่วยให้ คน ไข้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่หายเร็วขึ้น เพราะการเคี้ยวหมากฝรั่งหลังการผ่าตัด เป็น การ บริหารให้ลำไส้กลับมาทำงานตามปกติได้เร็วขึ้น คนไข้จะไม่เกิดอาการลำไส้อืด ซึ่ง ทำให้ปวดท้อง และท้องอืด หลังจากที่ต้องหยุดทำงานไปพัก หนึ่ง
6. การกินเนยก่อนนอน ทำให้นอนหลับสนิทขึ้น จริงหรือ
เฉลย จริง เพราะในเนยมี กรดอมิโน ที่มี ชื่อ ว่า ทริปโตพัน ซึ่งมีสรรพคุณช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และสะกดให้หลับ ได้ สนิทดีขึ้น
7. กินส้ม ช่วยแก้อาการเซ็งได้ จริงหรือ
เฉลย จริง การรับประทานส้มโดยปอกเปลือก เอง จะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวน ที่ เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดลงได้ดีออกมา ด้วย
8. การกินช็อคโกแล๊ต ช่วยแก้ไอได้ จริงหรือ
เฉลย จริง เพราะ โกโก้ที่ใช้ทำช็อคโกแล๊ต มีสารที่ชื่อว่า ธีโอโบรไมน์ จะไปออกฤทธิ์ที่เส้นประสาทชื่อ เวกัสเนอร์ฟ ที่ทำ หน้าที่เกี่ยวกับการไอ ทำให้สามารถหยุดอาการไอเรื้อรังอย่างได้ ผล
9. การกิน บ๊วยช่วยเพิ่มกำลังได้ จริงหรือ
เฉลย จริง เพราะ การที่คนเรามีอาการ เหนื่อย อ่อนเพลีย เพราะกรดในเลือดสูง ร่างกายไม่สามารถปรับดุลความเป็นด่างได้ ทัน แต่บ๊วยมีความเป็นด่าง Ph 7.35 ใกล้เคียงกับเลือดคนเรา จึง ช่วย ถ่วงดุลความเป็นด่างได้ และยังมีโปรตีน เกลือแร่ และสารอาหารจำเป็นอยู่มาก อีก ด้วย
10. การกิน อาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันความจำเสื่อมได้ จริง หรือ
เฉลย จริง เพราะ เลือดตอนเช้าจะแข็งตัว ง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดอุดตันมากขึ้น สารอาหาร ไปเลี้ยงสมองได้ น้อยลง สมองจึงค่อยๆ เสื่อม
รู้ไว้ใช้ว่า
เฉลย จริง อาการเผ็ดเกิดจากสารที่ชื่อ แค ปไซซิน ที่อยู่ในพริกเข้าไปจับกับปลายประสาทรับรถที่ลิ้น ร่างกายจะก็จะแสดงปฎิ กริยาโดบขับน้ำลายออกมาชะล้างเอาเจ้าสารนี้ออกไป
2. ดูดนมยางของเด็กทารก ตอนนอนจะแก้อาการนอนกรนได้ จริงหรือ
เฉลย จริง การคาบหรืออมนายางของเด็กทารก ไว้ในปากจะทำให้ลิ้นในปากอยู่นิ่ง ก็จะพลอยให้เนื้อเยื่อของเพดานไม่กระเทือน สั่นไหวขึ้นจึงไม่เกิดอาการกรน และไม่นอนอ้าปากอีก ด้วย
3. การสูดกลิ่นตัว ผู้ชาย ทำให้หายเครียดได้ จริงหรือ
เฉลย จริง เพราะกลิ่นตัวผู้ชายที่เป็นคน รักนั้นมีสาร ฟีโรโมน ผสมอยู่โดยเฉพาะในผมและผิวของเขา เมื่อสูดดมแล้วจะช่วยลด อาการเครียดและเหนื่อยล้าลงได้
4. แอปเปิ้ลผลิตกระแส ไฟฟ้าได้ จริงหรือ
เฉลย จริง ถ้าเสียบแผ่นสังกะสี และแผ่น ทอง แดง กรดในแอปเปิ้ลจะทำให้เกิดการแตกตัวของไอออน ทำให้ลูกแอปเปิ้ลเป็น เหมือน แบตเตอรี่ ซึ่งผลไม้ชนิดอื่นเช่น มะนาว เกรป ฟรุ๊ต หรือมันฝรั่ง ก็ทำได้ เช่น กัน
5. ปัสสาวะ มนุษย์ใช้ทำยาสีฟันในสมัยโบราณ จริงหรือ
เฉลย จริง โดยแพทย์ชาวโรมันเชื่อว่า ปัสสาวะมนุษย์ มีคุณสมบัติทำให้ฟันขาว และแข็งแรง ยาสีฟันในยุคดังกล่าว จึง เป็น น้ำยาบ้วนปากที่ทำจากปัสสาวะมนุษย์
6. วัวกระทิงเกลียดสี แดง จริงหรือ
เฉลย ไม่จริง เพราะ วัวเป็นสัตว์ตาบอดสี ไม่ สามารถแยกแยะสีต่างๆ ได้ แต่การที่วัวเมื่อถูกล่อด้วยผ้าแดงเหมือนในสนามสู้วัว แล้วก็พุ่งเข้าใส่นั้น เป็นเพราะความรำคาญ และเพราะถูกยั่วยุ มากกว่า
7. เพชรแท้จะ ไม่ติดสีหมึก จริงหรือ
เฉลย จริง การทดสอบดูเพชรแท้นั้น ให้ป้าย น้ำหมึกสีดำไปบนเพชร ถ้ามีความลื่นออก ไม่ติดอยู่บนเพชร แสดงว่าเป็นเพชรแท้ แต่ ถ้ายังมีจุดดำตรงที่แต้มอยู่ ก็แสดงว่าเป็นเพชร เทียม
8. การทะเลาะ กันทำให้แผลหายช้า จริงหรือ
เฉลย จริง เพราะ ความเครียดที่เกิดขึ้น ทั้งระหว่าง และหลังจากการทะเลาะกัน จะส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตโปรตีนเม็ด เลือด ที่มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผล หรือส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้น้อยลง ทำ ให้บาดแผลต่างๆ หายช้า
9. แสงแดด อ่อนๆ ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้ จริงหรือ
เฉลย จริง เพราะ แสงแดดอ่อนๆ จะช่วยลดการ สร้างฮอร์โมนเมลาโตนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ ถ้าหากเก็บตัวอยู่ แต่ในที่มืดจะทำให้ฮอร์โมนตัวนี้สูงขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดการง่วง เหงา ซึม เซา ได้
10. การฟัง เพลง ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้ จริงหรือ
เฉลย จริง เพราะ การฟังเพลงทำให้สมอง หลั่ง สารเอนดอร์ฟินส์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนสร้างความสุขออกมา ช่วยลดความดันโลหิต และ บรรเทาอาการปวดข้อลงได้
ความรู้รอบตัว แปลก..แต่จริง
เฉลย จริง เพราะ เมื่อร่างกายมีน้ำตาล อยู่ ในกระแสเลือดมากเกินไป มันจะไปเกาะติดกับเส้นใยโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลล์ ผิว ทำ ให้เกิดภาวะผิวเครียดขึ้น และนำไปสู่อาการแก่ก่อนวัย ผิวหยาบกร้าน และ เหี่ยวย่น ในที่สุด
2. การยืนเอาปลาย นิ้ว มือแตะปลายนิ้วเท้าจะทำให้ผิวหน้าดูสดใส จริงหรือ
เฉลย จริง โดยการยืนเอาปลายนิ้วมือแตะ ปลาย นิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจะทำให้โลหิต บริเวณหนังศีรษะ และใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลกระทบให้ผิวหน้าดูสดใส ขึ้น
3. เอาน้ำแข็งถูหน้า ก่อนนอนจะทำให้หายมันได้ จริงหรือ
เฉลย ไม่จริง แต่แก้ปัญหาหน้ามันได้โดยการ ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาหน้าให้ทั่วใบหน้า ทาแล้วไม่ต้องล้างออก น้ำเมือกจะ แห้งไปเองภายใน ๕ - ๑๐ นาที ทำก่อนนอน แค่นี่หน้าก็จะ หาย
4. การสวมเสื้อผ้า หนาๆ เพื่อให้เหงื่อออกเยอะๆ จะทำให้ผอมเร็วจริงหรือ
เฉลย ไม่จริง การที่เหงื่อออกเยอะคือ ภาวะ ที่ ร่างกายโดนความร้อนแล้วระบายความร้อนออกมา ไม่ใช่การเผาผลาญไขมันออกมา เพราะ ฉะนั้นพอเราดื่มน้ำเข้าไป น้ำหนักก็จะเท่า เดิม
5. คนผิวแห้งมีโอกาส เกิดริ้วรอยกว่าคนผิวมัน จริงหรือ
เฉลย จริง เพราะคนผิวแห้งขาด ซีบัม หรือ สารไขมัน ทำให้กลไกลการปกป้องตนเองของผิวหนังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะ ฉะนั้นคนผิวแห้งควรดูแล และทาครีมบำรุงเพื่อความชุ่มชื่นแก่ผิวพิเศษกว่าคนผิว มัน
6. การฝึกกลั้นหายใจ สามารถชะลอหน้าแก่ก่อนวัยได้ จริงหรือ
เฉลย จริง โดยการหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึง หายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้งๆ ละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัย และรอยคล้ำ ได้
7. การ ร้องไห้ช่วยลดความอ้วนได้ จริงหรือ
เฉลย ไม่จริง แต่การหัวเราะต่างหากที่ช่วย เผา ผลาญแคลอรีให้หมดไปได้ดีกว่าอยู่เฉยๆ ได้มากถึง 20% ซึ่งหากได้หัวเราะวัน ละสัก 10 -15 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานลงได้มาก ถึง 50 แคลอรี
8. กาวตราช้างใช้ รักษาส้นเท้าแตกได้ จริงหรือ
เฉลย จริง เพราะ เมื่อปิดหนังที่แตกด้วย กาวตราช้าง สิ่งสกปรกจะเข้าไปในรอยแตกไม่ได้ ผิวจะไม่ ถูกรบกวน จึงมีการซ่อม แซม ตนเองขึ้นมา มีการสร้างเซลล์ใหม่ และผลัดเซลล์เก่าออก กาวช้างก็จะหลุดออก ไป แต่ ห้ามใช้กับคนที่แพ้กาวตราช้าง
9. การ เต้น รำทำให้ผิวสวยได้ จริงหรือ
เฉลย จริง เพราะ การเต้นรำเพียงวัน ละ 20 นาที ช่วยเผาผลาญแคลอรี กระตุ้นระบบการหายใจ และระบบหมุนเวียนโลหิต ทำ ให้เลือดลมเดินทั่วผิว ทำให้ผิวสวยมีสุขภาพ ดี
10. การใส่ กระโปรงสั้นในห้องแอร์เป็นประจำทำให้ขาใหญ่ได้ จริง หรือ
เฉลย จริง เพราะ ช่วงขาส่วนที่อยู่ นอกกระโปรงจะเกิดการสะสมไขมันเป็นพิเศษ เพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศ โดยเฉพาะ เมื่อ ผิวหนังเจอความหนาวเย็น ทำให้เกิดเซลลูไลท์= A
วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553
บทความตะปู
เด๊กน้อยคนหนึ่ง มีสีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก พ่อของเขาจึงได้นำตะปู มาให้เขา
1 ถุง และได้บอกกับเขาว่า " ทุกครั้ง เวลาที่เขารู้สึกโมโห หรือ โกรธใครซักคน ให้ตอกตะปู 1
ตัวเข้าไปกับ รั้วหลังบ้าน "
วันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเข้าไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว และก็ค่อย ๆ ลด
จำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันผ่านไป ก็ลดจำนวนลง เพราะเขารู้สึกว่า การควบคุมอารมณ์ตนเอง
เริ่มสงบลง
และแล้ว หลังจากที่เขา สามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบ
กับพ่อ และบอกกับ พ่อของเขาว่า เขาสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้แล้ว....
พ่อยิ้ม..และบอกกับลูกชายว่า..." ถ้าเป็นเช่นนั้น ลองพิสูจน์ให้พ่อรู้ โดยทุก ๆครั้งที่
สามารถควบคุมตนเองได้ ให้ถอนตะปู ออกจากรั้วบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง "
วันแล้ว วันเล่า เด็กน้อยค่อย ๆ ถอนตะปู ออก ทีละตัว จาก1 เป็น 2 2 เป็น 3
จนในที่สุด ตะปู ถูกถอดออกจนหมด เด็กน้อยดีใจมาก รีบวิ่งไปบอกพ่อ
" ฉันทำได้ ในที่สุด ฉันก็ทำสำเร็จ ..!! พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่ได้จูงมือ ลูกชายไปที่
รั้วหลังบ้าน " เจ้าลองมองที่รั้วเหล่านั้นสิ มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะมีรอยตะปูเต็มไปหมด
จำไว้นะลูก เวลาทำอะไรลงไป โดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล ต่อให้ใช้คำพูด
ว่า ขอโทษ สักกี่หน ก็ไม่อาจลบ ความเจ็บปวด ไม่อาจรบรอยแผล ที่เกิดขึ้นกับคนนั้นได้
กับเพื่อน เพื่อนเปรียบเสมือนอัญมณี ที่หายาก เป็นคนทำให้เรายิ้ม ให้กำลังใจ
ยินดีเมื่อเราประสบความสำเร็จ ปลอบใจเมื่อยามเศร้า ร่วมทุกข์ร่วมสุข กับเรา และจริงใจกับ
เราเสมอ ......จงระวัง ในสิ่งที่เราทำลงไป ไม่ว่าจะป็น คำพูด หรือ การกระทำ และ จดจำไว้
เสมอว่า คำขอโทษ ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือ รอยร้าว แผลเป็น
ที่เค้าคงไม่อาจลืมมันได้ ......ตลอดไป
บทความรักแม่
พอเข้าป่าลึก ลูกชายก็วางแม่ลงบนโขดหิน แล้วเดินหันหลังกลับไป.................
ขณะนั้นเองเสีงของผู้เป็นแม่ตะโกนตามหลังลูกชายไปว่า .......
" ลูกเอ๋ย " เดินตามทางที่แม่หักกิ่งไม่ไว้น๊ะ !! จะได้ไม่หลงทาง
T_T แง ๆ ๆ...................
บทความซึ้งมาก
ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง..
มีเพื่อนต่างเพศอยู่คู่หนึ่ง เป็นเพื่อนที่รักกันมาก
ฝ่ายชายจะเดินไปส่งฝ่ายหญิงที่บ้านเสมอทุกวัน
เวลาผ่านไป จนทั้ง สองอยู่ มหาวิทยาลัย
ฝ่ายหญิงเริ่มไปแอบชอบ ผู้ชายคนนึง และได้ถามเพื่อนชายว่า
"นี่ เธอ ว่า เค้าเหมาะกับเราไหม"
"เค้าก้อ หล่อดีนะ นิสัยก็ดีด้วย "
"เหรอ! อืม อยากให้เค้ามานั่งอยู่ข้างๆ เราจังเลยเนอะ"
ต่อมาไม่นาน หญิงสาวก็ได้เป็นแฟน กับผู้ชายคนนั้นจริงๆ
วันนึงหญิงสาวบอกกับ เพื่อนชายของตนว่า
"นี่ เธอ ไม่ต้องมาส่งเราทุกวันแล้วแหละ ตอนนี้เค้าจะมาส่งเราแล้ว
เราไม่อยากให้ เค้าเข้าใจ ผิดน่ะ"
"อืม" ฝ่าย ชายตอบรับ และเขาก็ไม่ได้ไปส่งหญิงสาวอีก
ต่อมาหญิงสาวเกิดทะเลาะกับแฟน ของตน
จึงมาปรึกษาเพื่อนชาย
ว่า
"เธอ! เด๋ว นี้เขาไม่ค่อยสนใจเราเลยแหละ
เธอว่า... เราจะทำอย่างไร ดีหล่ะ!"
"ก้อ เธอ ยังรักเค้าอยู่หรือป่าวหล่ะ" ฝ่ายชายถาม
"ก้อรักสิ และก้อรักมากด้วย"
"ถ้าอย่างนั้น ก็มอบความรักให้เขาต่อไปสิ ก้อเธอรักเค้านี่หน่า"
"อืม ม" หญิงสาวทำตามคำแนะนำของเพื่อนชาย
หลังจากนั้น ... วันหนึ่ง
ระหว่างที่เพื่อนชายหนุ่ม เดินกลับบ้าน เค้าเห็นหญิงสาว
นั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง
"เธอ เป็น อะไรหน่ะ ทำไมถึงร้องไห้ มีอะไรให้เราช่วยไหม"
"เค้าไม่ รักเราเลยหล่ะ เขาเปลี่ยนไป
เด๋วนี้เขาไม่เคยมาส่งเรา ที่บ้านเลย"
"แล้วเราจะ ช่วยอะไรเธอได้บ้างหล่ะ"
"ช่วยอยู่ กับเราซักพักได้ไหม?" หญิงสาวร้องขอ
ก้อได้ซิ! ทำไมจะไม่ได้หล่ะ
ทั้งสองได้นั่งอยู่ด้วยกัน โดยไม่พูดจาอะไรกันเลย
ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ย ขึ้นมาว่า
"เราควรจะ ทำอย่างไรดี เธอจะช่วยบอกเราได้ไหม
ว่าเราควรจะทำอย่างไร
ดี"
"เธอยังรัก..เขาอยู่หรือป่าวหล่ะ"
"รักสิ เรา รักเค้ามากเลย"
"แต่เค้า ไม่รักเราเลยนี่หน่า" หญิงสาวร้องไห้โฮ
"แต่เธอก็รัก..เขาไม่ใช่เหรอ"
และชายหนุ่มก็ไปส่งหญิงสาว ที่บ้านอย่างที่เคยทำมาแต่ก่อน
"ถ้า เมื่อไหร่...ก็ตาม
ที่เธออยากให้เรามาส่งเธอที่บ้าน อย่าลืมเรียกเรา นะ"
"อืม" และ หญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป
ต่อมาวันหนึ่งชายหนุ่มได้ รับโทรศัพท์จากหญิงสาว
"เราไม่ไหวแล้ว ช่วยมารับเราที"
เสียงของหญิงสาวดูช่าง อ่อนล้า และหมดกำลัง
เธอกำลังร้องไห้อย่างฟูมฟายอยู่
ชายหนุ่มได้ไปหาเธอและพาเธอมาส่งบ้าน
เธอยังคงถามชายหนุ่มนั้น เหมือนที่เคยถามมา ...
"เราจะทำอย่างไรต่อไปดี"
เราไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว..ดูยังไง ๆ เขาก็เหมือนไม่ได้รักเราเลย
"แล้วเธอเลิก รักเค้าแล้วเหรอ"
"ป่าว! เรา ยังรักเค้ามาก เรายังรักเขาอยู่เหมือนเดิม"
"งั้นก็ เหมือนที่เราเคยพูดไว้
จงรักเขาต่อไป..แม้มันจะเจ็บบ้างก็ตาม
เพราะมันไม่สำคัญหรอกว่า เขาจะรักเธอไหม..? แต่ถ้าเธอยังรักเขา
เธอก็คงทำได้แค่เพียงรักเขา...และจงรักเขาให้มากกว่าเดิม
เพื่อแสดงให้เขารู้ว่าเธอรักเขามาก และก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
มีแต่เพิ่มมากขึ้น"
อือ ม..แล้วหญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป
และในที่สุดวันที่เธอเรียนจบก็มาถึง
เพื่อนชายหนุ่มของเธอมาแสดงความยินดีกับเธอ
เธอรู้สึกแปลกใจมาก ที่เพื่อนชายหนุ่มของเธอ ยังเรียนไม่จบ
เธอถามเขาว่า ทำไม..?
ชายหนุ่มตอบว่า เขาขี้ เกียจไปหน่อย
ทำให้เขาต้องเรียนซ้ำวิชา หนึ่งจึงยังเรียนไม่จบ
หญิง สาวแปลกใจ เพราะตลอดมา ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนขยัน
แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ..
และต่อมาไม่นานแฟนของหญิงสาว ก็ได้มาขอเธอแต่งงาน
เนื่องด้วยเห็นถึงความรัก ที่หญิงสาวมีให้
หญิงสาวจึงได้ไปชวนเพื่อนชาย เพื่อให้มางานแต่งของเธอ
"เราไม่ว่างจริงๆ เราติดธุระน่ะ!
ขอโทษด้วยนะ"
เพื่อนชายตอบเธอด้วยน้ำ เสียงแผ่วเบา
หญิงสาวโกรธและเสียใจที่ เพื่อนชายไม่ยอมมางานแต่ง จึงวางหูกระแทกไป
แต่หญิงสาวก็ต้องประหลาดใจ เมื่อวันที่เธอแต่งงาน
ชายหนุ่มได้มาปรากฎตัวก่อนที่งาน แต่งจะจบลง
"ยินดีด้วย นะ เรามาแล้วหล่ะ"
หญิงสาวดีใจมากที่เห็นเพื่อนชาย ของเธอมา
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม
เธอรู้สึกมีความสุขมาก ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมาไม่ได้
และเพื่อนชายก็พูดว่า เธอมีอะไรให้เราช่วยไหม..?
ยิ่งทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม..
...........................
ต่อมาหญิงสาวก็มีความสุข กับชีวิตแต่งงานของเธอ
จนไม่มีเวลาได้ติดต่อกับเพื่อนชายอีกเลย
จนวันหนึ่งหญิงสาวได้ ทะเลาะกับสามีของตน
หญิงสาวไม่รู้จะไปปรึกษาใคร จึงนึกถึงเพื่อนชายขึ้นมา
แม้ว่าหญิงสาวจะโทรไปหาเท่าไหร่?
ก็ไม่สามารถติดต่อกับชายหนุ่มคนนั้นได้เลย
เขาจึงโทรไปหาเพื่อนของชายหนุ่มคนนั้น
เพื่อนของชายหนุ่มเล่า ว่า ชายหนุ่มเป็นโรคร้าย เขาไม่สามารถไปไหนได้
ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล... มาร่วมหลายเดือนแล้ว
หญิงสาวตกใจมาก ถามว่า..เขาเป็นอะไร?
เพื่อนชายหนุ่มบอกว่า อาการเขากำเริบ เพราะวันที่ชายหนุ่มต้องมาผ่าตัด
ชายหนุ่มดัน ...หายตัว ไปเฉย ๆ โดยไม่มีใครรุ้
และเพื่อนของชายหนุ่ม ก็ยังบอกอีก ว่า ..."มันเป็นนิสัยเสียของมันหน่ะ
มันชอบหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ ในช่วงเวลาสำคัญๆ
คราวที่แล้วตอนสอบไล่ มันก็หายตัวไปจากห้องสอบเฉยเลย"
ไม่รู้มันหายไปไหน..ถามใคร ก็ไม่มีใครรู้
หญิงสาวตกใจมาก เลยขอที่อยู่ของโรงพยาบาลที่ชายหนุ่มรักษาตัว
หญิงสาวไปเยี่ยมชายหนุ่ม ที่โรงพยาบาล เมื่อเปิดประตูเข้าไป
ก็ต้อง ตกใจ ! ชายหนุ่มที่เคยดูแข็งแรง กับผอมซูบ ไม่มี แรง
เมื่อชายหนุ่มเห็นเธอก็ดีใจ ทักทาย
เธอเป็นการใหญ่
"เป็นอย่าง ไรมั่ง ไม่เจอกันตั้งนานเลยน่ะ"
หญิงสาวนิ่งเงียบซักพัก น้ำตาหญิงสาวก็ไหลออกมา
"อ้าวร้อง ไห้ทำไมหล่ะ เธอหน่ะ ไปทะเลาะกับแฟนมาอีกแล้วเหรอ
จะให้เราช่วยอะไรไหม...?
แต่เราก็คงจะแนะนำเธอ ได้เหมือนเดิมนะ"
หญิงสาวเข้าไปหาชายหนุ่ม แล้วก็บอกกับชายหนุ่มว่า
วันที่เธอ มารับเราเป็นวันสอบไล่เธอใช่ไหม..?"
ชายหนุ่มทำหน้าตกใจและไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น กลับนิ่งเงียบไป
หญิงสาวจึงพูด ต่อ...
"และวันที่ เธอต้องผ่าตัดใหญ่ เธอกลับมางานแต่งงานของเราใช่ไหม..?"
ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไร อีกแล้ว กลับนิ่งเงียบกว่าเดิม
หญิงสาวเข้าไปกอดชายหนุ่ม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ
"ตลอดเวลา เรารักแต่คนอื่น
มองแต่คนอื่นเรากลับไม่รู้เลยว่าเธอรักเรามากแค่ ไหน
เรารู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ ไม่ได้รักเธอมากกว่านี้"
ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแล้วก็บอก
กับหญิงสาวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า
"เราบอกเธอ แล้วไง..ถ้าเรารักใครสักคน เราก็ต้องรักเขาให้มากๆ
และมากขึ้นกว่าเดิม
มันไม่สำคัญหรอก..ว่าเขาจะรักเราหรือไม่
มันสำคัญแค่เพียงว่า..เรายังรักเธออยู่หรือเปล่า
แค่เราสามารถช่วยเธอได้ นั่นมันก็เป็นความสุขของเราแล้ว
ต่อให้เราจะเจ็บสักแค่ไหน..เราก็ยังรักเธอต่อไป
และไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลง..
หญิงสาวรู้สึกเสียใจมาก นั่งร้องไห้โฮ...อยู่ที่ตักของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มจึงพูด... ขึ้น ว่า
"ถ้าเราหาย เมื่อไหร่... เราจะไปส่งเธอที่บ้านอีกนะ"
** ยังมีผู้ชายที่เป็นแบบนี้อยู่ในโลกอีกมั้ยเน้อ **
วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันแม่ แห่งชาติ
ทุกวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี
วันแม่แห่งชาติ หรือที่คนไทยทั่วไปนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า "วันแม่" ทุกคนรับทราบและซาบซึ้งกันดี เนื่องจากวันสำคัญนี้ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถคือ วันที่ 12 สิงหาคม อันเป็นวันคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพและถือว่าเป็นวันแม่ของชาติด้วย
แต่เดิมนั้น วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาไว้วันที่ 15 เมษายนของทุก ๆ ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรอง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2493 ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงาน วันแม่ มาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2493 เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างขวางออกไป มีการจัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา การประกวดคำขวัญวันแม่ การประกวดแม่ของชาติ เพื่อให้เกียรติและตระหนักในความสำคัญของแม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของวันแม่ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาลฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่โดยทั่วไปเรียกกันว่าวันแม่ของชาติ
ต่อมาถึง พ.ศ.2519 ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
วันแม่แห่งชาติ เป็นวันที่ทางราชการกำหนดในวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี และถือว่าเป็นวันสำคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย โดยกำหนดให้ถือว่า "ดอกมะลิ" สีขาวบริสุทธิ์เป็นสัญลักษณ์ของความดีงามของแม่ผู้ให้กำเนิดแก่เรา
กิจกรรมต่าง ๆ ที่ควรปฏิบัติในวันแม่แห่งชาติ
- ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน
- จัดกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับวันแม่ เช่น การจัดนิทรรศการ
- จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณ ประโยชน์ ทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศล เพื่อรำลึกถึงพระคุณของแม่
- นำพวงมาลัยดอกมะลิไปกราบขอพรจากแม่
วัน แม่ในประเทศต่าง ๆ
- อาทิตย์ที่สองของ เดือนกุมภาพันธ์ นอร์เวย์
- 8 มีนาคม บัลแกเรีย, แอลเบเนีย
- อาทิตย์ที่สี่ในฤดู ถือบวชเล็นท์ (มาเทอริง ซันเ ดย์) สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์
- 21 มีนาคม (วันแรกของฤดูใบไม้ผลิ) จอร์แดน, ซีเรีย, เลบานอน, อียิปต์
- อาทิตย์แรกของเดือน พฤษภาคม โปรตุเกส, ลิทัวเนีย, สเปน, แอฟริกาใต้, ฮังการี
- 8 พฤษภาคม เกาหลีใต้ (วันผู้ปกครอง)
- 10 พฤษภาคม กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย, ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้, บาห์เรน, ปากีสถาน, มาเลเซีย, เม็กซิโก, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อินเดีย, โอมาน
- อาทิตย์ที่สองของ เดือนพฤษภาคม แคนาดา, สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน), สาธารณรัฐประชาชนจีน, ญี่ปุ่น, เดนมาร์ก, ตุรกี, นิวซีแลนด์, เนเธอร์แลนด์, บราซิล, เบลเยียม, เปรู, ฟินแลนด์, มอลตา, เยอรมนี, ลัตเวีย, สโลวาเกีย, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, อิตาลี, เอสโตเนีย, ฮ่องกง
- 26 พฤษภาคม โปแลนด์
- 27 พฤษภาคม โบลิเวีย
อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม สาธารณรัฐโดมินิกัน, สวีเดน
อาทิตย์แรกของเดือนมิถุนายนหรือ อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ฝรั่งเศส - 12 สิงหาคม ไทย (วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ)
- 15 สิงหาคม (วันอัสสัมชัญ) คอสตาริกา, แอนท์เวิร์ป (เบลเยียม)
อาทิตย์ที่ สองหรือสามของเดือนตุลาคม อาร์เจนตินา (Día de la Madre) - 28 พฤศจิกายน รัสเซีย
- 8 ธันวาคม ปานามา
- 22 ธันวาคม อินโดนีเซีย
แหล่งอ้างอิง :
หนังสือ วันสำคัญของไทย โดย สมเจตน์ มุทิตากุล
หนังสือ ประวัติวันสำคัญที่ควรรู้จัก โดย วรนุช อุษณกร
หนังสือ วันสำคัญของไทย โดยธนากิต
หนังสือ วันสำคัญของไทย โดย สุชิราภรณ์ บริสุทธิ์
ลูก กับ แม่
เสียงโทรศัพท์ ดังขึ้น … มิสค่ะ … ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องนะคะ โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร ครูประจำชั้น ป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่านัดหมายแค่คุณแม่ท่านเดียวเท่านั้นในวันนี้
เอ… ใครละเนี่ย จะมีเรื่องอะไรรึปล่าวนะ เมื่อมาถึงห้อง ครูสาวแทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากแต่รูสึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว
อย่างไรก็ตาม มิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดหมาย โดยเก็บงำความแปลกใจไว้ หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จ จึงได้เชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง
… ภาพแรกที่ได้เห็นชัด ๆ ทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่องการเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาบอกว่าอายพื่อนที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อ ว่า แม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์หรอ อะไรนี่นะคะ เลยไม่ได้มา น้ำเสียงคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ
มิสอุไรพร ขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริง ครูสาวตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องจัดการเรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่ หากปล่อยเรื่องนี้ไป… จะเป็นตราบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปภายหน้า ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนที่ล้อเพื่อนด้วย
ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือ แต่ฝนตกหนัก มิสอุไรพร จึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟัง เรื่องราวที่ว่านั้น ความดังนี้…
วันที่ 21 สิงหาคม 2536 หลังวันแม่ไม่กี่วัน… ครอบครัวหนึ่งเดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล ประกอบด้วย พ่อแม่และลูกชายอีกสามคน พวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคัดดินเล็ก ๆ ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยมีคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังกับลูกชายคนเล็ก
ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำซึ่ง มีใบพัดเหล็กสูงจากคันดินราว 25 ซม. คุณพ่อและลูกชายคนโตสองคนข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า ไม่มีใครฉุกคิดระวังถึงเหตุร้าย แต่แล้วลุกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่และฉุดขาของลูกทั้ง สองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก ถ้าเป็นพวกคุณ คุณจะทำอย่างไร …
มิส หยุดเรื่องไว้ เพื่อซักถาม มองหน้านักเรียนทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะลูกชายของคุณแม่ท่านนั้น
แต่นักเรียนรู้มั้ยว่า คุณแม่ท่านตัดสินใจอย่างไร คุณแม่ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรเลยท่านรีบดึงตัวลูกเอาไว้ แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดไว้ก่อน…
ใบพัดหมุนแขนของคุณแม่เข้าไป … คนงานที่เห็นเหตุการณ์จึงรีบปิดเครื่องแต่แรงเฉื่อยยังทำให้ใบพัดหมุนด้วย กำลังรง … แรงเสียจนกระชากแขนซ้านคุณแม่ ขาดสะบั้นลง !
คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที ท้องร่องบริเวณนั้นแดงฉานไปด้วยเลือด … เลือดของแม่ …
ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจน กระดูกหัก แต่ไม่ขาด ไม่ขาดเพราะ… เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน .. ไม่ขาด เพราะแม้ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ มือขวาของแม่ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น … ไม่ยอมปล่อย …
คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกน เอะอะโวยวายของคนงาน พร้อม ๆ กับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช๊อกแทบสิ้นสติ … คุณพ่อรีบกระโจนพรวดเดียวถึงตัวแม่และลูกน้อย …
แต่… มันสายเกินไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ รีบพาทั้งสองส่งโรงพยาบาลทันที ผลการรักษา คุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนที่ขาดไป ส่วนลูกชายคนเล็ก ที่ขาหักต้องพักฟื้นนานราวสามเดือน จึงสามารถเดินได้ เป็นปกติ
มิสอุไรพร กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วถามว่า นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญไหมคะ เด็ก ๆ พากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า หลาย ๆ คนยังหน้าซีดเซียว เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ตามที่ครูเล่า
มิส มองหน้าลูกชายของคุณแม่แล้วบอกว่า … นักเรียนทราบไหมว่าคุณแม่ท่านนั้นเป็นคุณแนคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เอง ไหน ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนั้น ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ… เด็กคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อน ๆ ทั้งห้อง “วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้าน มิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่า พวกเราชื่นชมและยกย่องท่านมาก ๆ”
มิสได้ทราบว่ามีหลาย ๆ คนไปล้อเลียนเพื่อน ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามี เราลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ
มีนักเรียน 3-4 คน ยืนขึ้น ใบหน้าของแต่ละคนรู้สึกสำนึกผิด แล้วมิสก็ถามว่า ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงมีอะไรอยากจะพูดกับเพื่อนใช่มั๊ยคะ
เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอ แล้วกล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ ครูสาวน้ำตาคลอเบ้า ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มใจ
ใครเล่า … จะเข้าใจความเจ็บช้ำ ขมขื่นในหัวใจเล็ก ๆ ของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กไม่ทันคิด
หากบัดนี้ … ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อน ๆ ได้สลายปมด้อยในใจของเขาไปจนสิ้น เหลือเพียงความรักและความภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น
เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสได้เรียกลูกชายคุณแม่ เข้าไปคุยอีกครั้ง “วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่ม้ยคะ” เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นว่า ….
“ผม… ผม จะไปขอโทษคุณแม่ แล้ว… บอกคุณแม่ว่า ผมรักคุณแม่มากที่สุดในโลกเลยครับ”
วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553
บทความเกี่ยวกับ msn ขำๆ msn ปัจจัยที่ 6 ของมนุษย์(จริงหรือปล่าว)

อินเทอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ต (อังกฤษ: Internet) หมายถึง เครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่ายหลายๆ เครือข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาที่ใช้สื่อสารกันระหว่างคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า โพรโทคอล (Protocol) ผู้ใช้เครือข่ายนี้สามารถสื่อสารถึงกันได้ในหลายๆ ทาง อาทิเช่น อีเมล เว็บบอร์ด และสามารถสืบค้นข้อมูลและ
ที่มา
อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) จากการเกิดเครือข่าย ARPANET (Advanced Research Projects Agency NETwork) ซึ่งเป็นเครือข่ายสำนักงานโครงการวิจัยชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการสร้างเครือข่ายคือ เพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อ และมีปฏิสัมพันธ์กันได้ เครือข่าย ARPANET ถือเป็นเครือข่ายเริ่มแรก ซึ่งต่อมาได้ถูกพัฒนาให้เป็นเครือข่าย อินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน
การประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ตในปัจจุบันทำได้หลากหลาย อาทิเช่น ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ อีเมล์ (e-Mail) , สนทนา (Chat), อ่านหรือแสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ด, การติดตามข่าวสาร, การสืบค้นข้อมูล / การค้นหาข้อมูล, การชม หรือซื้อสินค้าออนไลน์ , การดาวโหลด เกม เพลง ไฟล์ข้อมูล ฯลฯ, การติดตามข้อมูล ภาพยนตร์ รายการบันเทิงต่างๆ ออนไลน์, การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์, การเรียนรู้ออนไลน์ (e-Learning), การประชุมทางไกลผ่านอินเทอร์เน็ต (Video Conference), โทรศัพท์ผ่านอินเทอร์เน็ต (VoIP), การอับโหลดข้อมูล หรือ อื่นๆ
การประยุกต์ใช้งานอินเทอร์เน็ต
แนวโน้มล่าสุดของการใช้อินเทอร์เน็ตคือการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์เพื่อสร้างสังคมออนไลน์ (Social Network) ซึ่งพบว่าปัจจุบันเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมดังกล่าวกำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็น facebook, twitter, hi5 และการใช้เริ่มมีการแพร่ขยายเข้าไปสู่การใช้อินเทอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ (Mobile Internet) มากขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีปัจจุบันสนับสนุนให้การเข้าถึงเครือข่ายผ่านโทรศัพท์มือถือทำได้ง่ายขึ้นมาก