สถานที่ท่องเที่ยวที่แนะนำ"เกาะสมุย"

วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บทความตะปู

เด๊กน้อยคนหนึ่ง มีสีหน้าแสดงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก พ่อของเขาจึงได้นำตะปู มาให้เขา

1 ถุง และได้บอกกับเขาว่า " ทุกครั้ง เวลาที่เขารู้สึกโมโห หรือ โกรธใครซักคน ให้ตอกตะปู 1

ตัวเข้าไปกับ รั้วหลังบ้าน "

วันแรกผ่านไป เด็กน้อยคนนั้นตอกตะปูเข้าไปที่รั้วหลังบ้านถึง 37 ตัว และก็ค่อย ๆ ลด

จำนวนลงเรื่อย ๆ ในแต่ละวันผ่านไป ก็ลดจำนวนลง เพราะเขารู้สึกว่า การควบคุมอารมณ์ตนเอง

เริ่มสงบลง

และแล้ว หลังจากที่เขา สามารถควบคุมตนเองได้ดีขึ้น ใจเย็นมากขึ้น เขาจึงเข้าไปพบ

กับพ่อ และบอกกับ พ่อของเขาว่า เขาสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้แล้ว....

พ่อยิ้ม..และบอกกับลูกชายว่า..." ถ้าเป็นเช่นนั้น ลองพิสูจน์ให้พ่อรู้ โดยทุก ๆครั้งที่

สามารถควบคุมตนเองได้ ให้ถอนตะปู ออกจากรั้วบ้าน 1 ตัว ทุกครั้ง "

วันแล้ว วันเล่า เด็กน้อยค่อย ๆ ถอนตะปู ออก ทีละตัว จาก1 เป็น 2 2 เป็น 3

จนในที่สุด ตะปู ถูกถอดออกจนหมด เด็กน้อยดีใจมาก รีบวิ่งไปบอกพ่อ

" ฉันทำได้ ในที่สุด ฉันก็ทำสำเร็จ ..!! พ่อไม่ได้พูดอะไร แต่ได้จูงมือ ลูกชายไปที่

รั้วหลังบ้าน " เจ้าลองมองที่รั้วเหล่านั้นสิ มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะมีรอยตะปูเต็มไปหมด

จำไว้นะลูก เวลาทำอะไรลงไป โดยใช้อารมณ์ สิ่งนั้นมันจะเกิดเป็นรอยแผล ต่อให้ใช้คำพูด

ว่า ขอโทษ สักกี่หน ก็ไม่อาจลบ ความเจ็บปวด ไม่อาจรบรอยแผล ที่เกิดขึ้นกับคนนั้นได้

กับเพื่อน เพื่อนเปรียบเสมือนอัญมณี ที่หายาก เป็นคนทำให้เรายิ้ม ให้กำลังใจ

ยินดีเมื่อเราประสบความสำเร็จ ปลอบใจเมื่อยามเศร้า ร่วมทุกข์ร่วมสุข กับเรา และจริงใจกับ

เราเสมอ ......จงระวัง ในสิ่งที่เราทำลงไป ไม่ว่าจะป็น คำพูด หรือ การกระทำ และ จดจำไว้

เสมอว่า คำขอโทษ ไม่ว่าเขาจะยกโทษให้เราหรือไม่ แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือ รอยร้าว แผลเป็น

ที่เค้าคงไม่อาจลืมมันได้ ......ตลอดไป

สักวันหนึ่ง Ost. สิ่งเล็กฯ

บทความรักแม่

แม่ผู้แก่เฒ่าเดินไม่ได้คนหนึ่ง.....ซึ่งเป็นที่รำคาญใจของลูกชายเหลือ เกิน สมัยนั้นยังไม่มีสถานสงเคราะห์คนชรา จึงไม่รู้ว่าจะเอาแม่ไปฝากให้ใครเลี้ยง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจพาแม่ตัวเองไปปล่อยในป่าให้อยู่ตาม ..ยถากรรม.. ระหว่างทางที่เดินไปนั้น ผู้เป็นแม่ไม่พูดจา ไม่วอนขอ และ ไม่ถามอะไรได้แต่หักกิ่งไม้ตามทางไปเรื่อย ......

พอเข้าป่าลึก ลูกชายก็วางแม่ลงบนโขดหิน แล้วเดินหันหลังกลับไป.................

ขณะนั้นเองเสีงของผู้เป็นแม่ตะโกนตามหลังลูกชายไปว่า .......

" ลูกเอ๋ย " เดินตามทางที่แม่หักกิ่งไม่ไว้น๊ะ !! จะได้ไม่หลงทาง

T_T แง ๆ ๆ...................

บทความซึ้งมาก

บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด

ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง..
มีเพื่อนต่างเพศอยู่คู่หนึ่ง เป็นเพื่อนที่รักกันมาก

ฝ่ายชายจะเดินไปส่งฝ่ายหญิงที่บ้านเสมอทุกวัน

เวลาผ่านไป จนทั้ง สองอยู่ มหาวิทยาลัย

ฝ่ายหญิงเริ่มไปแอบชอบ ผู้ชายคนนึง และได้ถามเพื่อนชายว่า

"นี่ เธอ ว่า เค้าเหมาะกับเราไหม"

"เค้าก้อ หล่อดีนะ นิสัยก็ดีด้วย "

"เหรอ! อืม อยากให้เค้ามานั่งอยู่ข้างๆ เราจังเลยเนอะ"

ต่อมาไม่นาน หญิงสาวก็ได้เป็นแฟน กับผู้ชายคนนั้นจริงๆ

วันนึงหญิงสาวบอกกับ เพื่อนชายของตนว่า

"นี่ เธอ ไม่ต้องมาส่งเราทุกวันแล้วแหละ ตอนนี้เค้าจะมาส่งเราแล้ว

เราไม่อยากให้ เค้าเข้าใจ ผิดน่ะ"

"อืม" ฝ่าย ชายตอบรับ และเขาก็ไม่ได้ไปส่งหญิงสาวอีก

ต่อมาหญิงสาวเกิดทะเลาะกับแฟน ของตน

จึงมาปรึกษาเพื่อนชาย

ว่า

"เธอ! เด๋ว นี้เขาไม่ค่อยสนใจเราเลยแหละ

เธอว่า... เราจะทำอย่างไร ดีหล่ะ!"

"ก้อ เธอ ยังรักเค้าอยู่หรือป่าวหล่ะ" ฝ่ายชายถาม

"ก้อรักสิ และก้อรักมากด้วย"

"ถ้าอย่างนั้น ก็มอบความรักให้เขาต่อไปสิ ก้อเธอรักเค้านี่หน่า"

"อืม ม" หญิงสาวทำตามคำแนะนำของเพื่อนชาย

หลังจากนั้น ... วันหนึ่ง

ระหว่างที่เพื่อนชายหนุ่ม เดินกลับบ้าน เค้าเห็นหญิงสาว

นั่งร้องไห้อยู่ข้างทาง

"เธอ เป็น อะไรหน่ะ ทำไมถึงร้องไห้ มีอะไรให้เราช่วยไหม"

"เค้าไม่ รักเราเลยหล่ะ เขาเปลี่ยนไป

เด๋วนี้เขาไม่เคยมาส่งเรา ที่บ้านเลย"

"แล้วเราจะ ช่วยอะไรเธอได้บ้างหล่ะ"

"ช่วยอยู่ กับเราซักพักได้ไหม?" หญิงสาวร้องขอ

ก้อได้ซิ! ทำไมจะไม่ได้หล่ะ

ทั้งสองได้นั่งอยู่ด้วยกัน โดยไม่พูดจาอะไรกันเลย

ในที่สุดหญิงสาวก็เอ่ย ขึ้นมาว่า

"เราควรจะ ทำอย่างไรดี เธอจะช่วยบอกเราได้ไหม

ว่าเราควรจะทำอย่างไร

ดี"

"เธอยังรัก..เขาอยู่หรือป่าวหล่ะ"

"รักสิ เรา รักเค้ามากเลย"

"แต่เค้า ไม่รักเราเลยนี่หน่า" หญิงสาวร้องไห้โฮ

"แต่เธอก็รัก..เขาไม่ใช่เหรอ"

และชายหนุ่มก็ไปส่งหญิงสาว ที่บ้านอย่างที่เคยทำมาแต่ก่อน

"ถ้า เมื่อไหร่...ก็ตาม

ที่เธออยากให้เรามาส่งเธอที่บ้าน อย่าลืมเรียกเรา นะ"

"อืม" และ หญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป



ต่อมาวันหนึ่งชายหนุ่มได้ รับโทรศัพท์จากหญิงสาว

"เราไม่ไหวแล้ว ช่วยมารับเราที"

เสียงของหญิงสาวดูช่าง อ่อนล้า และหมดกำลัง

เธอกำลังร้องไห้อย่างฟูมฟายอยู่

ชายหนุ่มได้ไปหาเธอและพาเธอมาส่งบ้าน

เธอยังคงถามชายหนุ่มนั้น เหมือนที่เคยถามมา ...

"เราจะทำอย่างไรต่อไปดี"

เราไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว..ดูยังไง ๆ เขาก็เหมือนไม่ได้รักเราเลย

"แล้วเธอเลิก รักเค้าแล้วเหรอ"

"ป่าว! เรา ยังรักเค้ามาก เรายังรักเขาอยู่เหมือนเดิม"

"งั้นก็ เหมือนที่เราเคยพูดไว้

จงรักเขาต่อไป..แม้มันจะเจ็บบ้างก็ตาม

เพราะมันไม่สำคัญหรอกว่า เขาจะรักเธอไหม..? แต่ถ้าเธอยังรักเขา

เธอก็คงทำได้แค่เพียงรักเขา...และจงรักเขาให้มากกว่าเดิม

เพื่อแสดงให้เขารู้ว่าเธอรักเขามาก และก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

มีแต่เพิ่มมากขึ้น"

อือ ม..แล้วหญิงสาวก็เดินขึ้นบ้านไป
และในที่สุดวันที่เธอเรียนจบก็มาถึง

เพื่อนชายหนุ่มของเธอมาแสดงความยินดีกับเธอ

เธอรู้สึกแปลกใจมาก ที่เพื่อนชายหนุ่มของเธอ ยังเรียนไม่จบ

เธอถามเขาว่า ทำไม..?

ชายหนุ่มตอบว่า เขาขี้ เกียจไปหน่อย

ทำให้เขาต้องเรียนซ้ำวิชา หนึ่งจึงยังเรียนไม่จบ

หญิง สาวแปลกใจ เพราะตลอดมา ชายหนุ่มคนนี้เป็นคนขยัน

แต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อ..

และต่อมาไม่นานแฟนของหญิงสาว ก็ได้มาขอเธอแต่งงาน

เนื่องด้วยเห็นถึงความรัก ที่หญิงสาวมีให้

หญิงสาวจึงได้ไปชวนเพื่อนชาย เพื่อให้มางานแต่งของเธอ

"เราไม่ว่างจริงๆ เราติดธุระน่ะ!

ขอโทษด้วยนะ"



เพื่อนชายตอบเธอด้วยน้ำ เสียงแผ่วเบา

หญิงสาวโกรธและเสียใจที่ เพื่อนชายไม่ยอมมางานแต่ง จึงวางหูกระแทกไป

แต่หญิงสาวก็ต้องประหลาดใจ เมื่อวันที่เธอแต่งงาน

ชายหนุ่มได้มาปรากฎตัวก่อนที่งาน แต่งจะจบลง

"ยินดีด้วย นะ เรามาแล้วหล่ะ"

หญิงสาวดีใจมากที่เห็นเพื่อนชาย ของเธอมา

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม

เธอรู้สึกมีความสุขมาก ถึงกับกลั้นน้ำตาไม่ให้มันไหลออกมาไม่ได้

และเพื่อนชายก็พูดว่า เธอมีอะไรให้เราช่วยไหม..?

ยิ่งทำให้เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม..

...........................

ต่อมาหญิงสาวก็มีความสุข กับชีวิตแต่งงานของเธอ

จนไม่มีเวลาได้ติดต่อกับเพื่อนชายอีกเลย

จนวันหนึ่งหญิงสาวได้ ทะเลาะกับสามีของตน

หญิงสาวไม่รู้จะไปปรึกษาใคร จึงนึกถึงเพื่อนชายขึ้นมา

แม้ว่าหญิงสาวจะโทรไปหาเท่าไหร่?

ก็ไม่สามารถติดต่อกับชายหนุ่มคนนั้นได้เลย

เขาจึงโทรไปหาเพื่อนของชายหนุ่มคนนั้น

เพื่อนของชายหนุ่มเล่า ว่า ชายหนุ่มเป็นโรคร้าย เขาไม่สามารถไปไหนได้

ตอนนี้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล... มาร่วมหลายเดือนแล้ว

หญิงสาวตกใจมาก ถามว่า..เขาเป็นอะไร?

เพื่อนชายหนุ่มบอกว่า อาการเขากำเริบ เพราะวันที่ชายหนุ่มต้องมาผ่าตัด

ชายหนุ่มดัน ...หายตัว ไปเฉย ๆ โดยไม่มีใครรุ้

และเพื่อนของชายหนุ่ม ก็ยังบอกอีก ว่า ..."มันเป็นนิสัยเสียของมันหน่ะ

มันชอบหายตัวไปไหนก็ไม่รู้ ในช่วงเวลาสำคัญๆ

คราวที่แล้วตอนสอบไล่ มันก็หายตัวไปจากห้องสอบเฉยเลย"

ไม่รู้มันหายไปไหน..ถามใคร ก็ไม่มีใครรู้

หญิงสาวตกใจมาก เลยขอที่อยู่ของโรงพยาบาลที่ชายหนุ่มรักษาตัว

หญิงสาวไปเยี่ยมชายหนุ่ม ที่โรงพยาบาล เมื่อเปิดประตูเข้าไป

ก็ต้อง ตกใจ ! ชายหนุ่มที่เคยดูแข็งแรง กับผอมซูบ ไม่มี แรง

เมื่อชายหนุ่มเห็นเธอก็ดีใจ ทักทาย

เธอเป็นการใหญ่

"เป็นอย่าง ไรมั่ง ไม่เจอกันตั้งนานเลยน่ะ"

หญิงสาวนิ่งเงียบซักพัก น้ำตาหญิงสาวก็ไหลออกมา

"อ้าวร้อง ไห้ทำไมหล่ะ เธอหน่ะ ไปทะเลาะกับแฟนมาอีกแล้วเหรอ

จะให้เราช่วยอะไรไหม...?

แต่เราก็คงจะแนะนำเธอ ได้เหมือนเดิมนะ"

หญิงสาวเข้าไปหาชายหนุ่ม แล้วก็บอกกับชายหนุ่มว่า



วันที่เธอ มารับเราเป็นวันสอบไล่เธอใช่ไหม..?"

ชายหนุ่มทำหน้าตกใจและไม่กล้าพูดอะไรทั้งสิ้น กลับนิ่งเงียบไป

หญิงสาวจึงพูด ต่อ...



"และวันที่ เธอต้องผ่าตัดใหญ่ เธอกลับมางานแต่งงานของเราใช่ไหม..?"

ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดอะไร อีกแล้ว กลับนิ่งเงียบกว่าเดิม



หญิงสาวเข้าไปกอดชายหนุ่ม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ

"ตลอดเวลา เรารักแต่คนอื่น

มองแต่คนอื่นเรากลับไม่รู้เลยว่าเธอรักเรามากแค่ ไหน

เรารู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ ไม่ได้รักเธอมากกว่านี้"

ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแล้วก็บอก

กับหญิงสาวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า



"เราบอกเธอ แล้วไง..ถ้าเรารักใครสักคน เราก็ต้องรักเขาให้มากๆ

และมากขึ้นกว่าเดิม

มันไม่สำคัญหรอก..ว่าเขาจะรักเราหรือไม่

มันสำคัญแค่เพียงว่า..เรายังรักเธออยู่หรือเปล่า

แค่เราสามารถช่วยเธอได้ นั่นมันก็เป็นความสุขของเราแล้ว

ต่อให้เราจะเจ็บสักแค่ไหน..เราก็ยังรักเธอต่อไป

และไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลง..



หญิงสาวรู้สึกเสียใจมาก นั่งร้องไห้โฮ...อยู่ที่ตักของชายหนุ่ม



ชายหนุ่มจึงพูด... ขึ้น ว่า



"ถ้าเราหาย เมื่อไหร่... เราจะไปส่งเธอที่บ้านอีกนะ"


** ยังมีผู้ชายที่เป็นแบบนี้อยู่ในโลกอีกมั้ยเน้อ **

ฉันยังเป็นคนรักของเธอทุกวัน

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553


วันแม่ แห่งชาติ
ทุกวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี

วันแม่แห่งชาติ หรือที่คนไทยทั่วไปนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า "วันแม่" ทุกคนรับทราบและซาบซึ้งกันดี เนื่องจากวันสำคัญนี้ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถคือ วันที่ 12 สิงหาคม อันเป็นวันคล้ายวันเสด็จพระราชสมภพและถือว่าเป็นวันแม่ของชาติด้วย

แต่เดิมนั้น วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาไว้วันที่ 15 เมษายนของทุก ๆ ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรอง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2493 ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงาน วันแม่ มาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2493 เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุนจนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างขวางออกไป มีการจัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา การประกวดคำขวัญวันแม่ การประกวดแม่ของชาติ เพื่อให้เกียรติและตระหนักในความสำคัญของแม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของวันแม่ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาลฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่โดยทั่วไปเรียกกันว่าวันแม่ของชาติ
ต่อมาถึง พ.ศ.2519 ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
วันแม่แห่งชาติ เป็นวันที่ทางราชการกำหนดในวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี และถือว่าเป็นวันสำคัญยิ่งของปวงชนชาวไทย โดยกำหนดให้ถือว่า "ดอกมะลิ" สีขาวบริสุทธิ์เป็นสัญลักษณ์ของความดีงามของแม่ผู้ให้กำเนิดแก่เรา

กิจกรรมต่าง ๆ ที่ควรปฏิบัติในวันแม่แห่งชาติ

  1. ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน
  2. จัดกิจกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับวันแม่ เช่น การจัดนิทรรศการ
  3. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณ ประโยชน์ ทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศล เพื่อรำลึกถึงพระคุณของแม่
  4. นำพวงมาลัยดอกมะลิไปกราบขอพรจากแม่

วัน แม่ในประเทศต่าง ๆ

  • อาทิตย์ที่สองของ เดือนกุมภาพันธ์ นอร์เวย์
  • 8 มีนาคม บัลแกเรีย, แอลเบเนีย
  • อาทิตย์ที่สี่ในฤดู ถือบวชเล็นท์ (มาเทอริง ซันเ ดย์) สหราชอาณาจักร, ไอร์แลนด์
  • 21 มีนาคม (วันแรกของฤดูใบไม้ผลิ) จอร์แดน, ซีเรีย, เลบานอน, อียิปต์
  • อาทิตย์แรกของเดือน พฤษภาคม โปรตุเกส, ลิทัวเนีย, สเปน, แอฟริกาใต้, ฮังการี
  • 8 พฤษภาคม เกาหลีใต้ (วันผู้ปกครอง)
  • 10 พฤษภาคม กาตาร์, ซาอุดีอาระเบีย, ประเทศส่วนใหญ่ในทวีปอเมริกาใต้, บาห์เรน, ปากีสถาน, มาเลเซีย, เม็กซิโก, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, อินเดีย, โอมาน
  • อาทิตย์ที่สองของ เดือนพฤษภาคม แคนาดา, สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน), สาธารณรัฐประชาชนจีน, ญี่ปุ่น, เดนมาร์ก, ตุรกี, นิวซีแลนด์, เนเธอร์แลนด์, บราซิล, เบลเยียม, เปรู, ฟินแลนด์, มอลตา, เยอรมนี, ลัตเวีย, สโลวาเกีย, สิงคโปร์, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, อิตาลี, เอสโตเนีย, ฮ่องกง
  • 26 พฤษภาคม โปแลนด์
  • 27 พฤษภาคม โบลิเวีย
    อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม สาธารณรัฐโดมินิกัน, สวีเดน
    อาทิตย์แรกของเดือนมิถุนายนหรือ อาทิตย์ที่สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม ฝรั่งเศส
  • 12 สิงหาคม ไทย (วันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ)
  • 15 สิงหาคม (วันอัสสัมชัญ) คอสตาริกา, แอนท์เวิร์ป (เบลเยียม)
    อาทิตย์ที่ สองหรือสามของเดือนตุลาคม อาร์เจนตินา (Día de la Madre)
  • 28 พฤศจิกายน รัสเซีย
  • 8 ธันวาคม ปานามา
  • 22 ธันวาคม อินโดนีเซีย


แหล่งอ้างอิง :
หนังสือ วันสำคัญของไทย โดย สมเจตน์ มุทิตากุล
หนังสือ ประวัติวันสำคัญที่ควรรู้จัก โดย วรนุช อุษณกร
หนังสือ วันสำคัญของไทย โดยธนากิต
หนังสือ วันสำคัญของไทย โดย สุชิราภรณ์ บริสุทธิ์



แม่แห่งแผ่นดิน

ลูก กับ แม่

ตึกเซนต์หลุยมา รี แผนกประถม ราวปี พ.ศ. 2539
เสียงโทรศัพท์ ดังขึ้น … มิสค่ะ … ช่วงพักเที่ยงจะมีผู้ปกครองมารอพบสองท่านที่หน้าห้องนะคะ โทรศัพท์แจ้งจากห้องประชาสัมพันธ์ ทำให้มิสอุไรพร นาคะเสถียร ครูประจำชั้น ป.4 รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะจำได้ว่านัดหมายแค่คุณแม่ท่านเดียวเท่านั้นในวันนี้
เอ… ใครละเนี่ย จะมีเรื่องอะไรรึปล่าวนะ เมื่อมาถึงห้อง ครูสาวแทบยกมือรับไหว้จากสุภาพสตรีทั้งสองท่านไม่ทัน หากแต่รูสึกแปลกใจที่เห็นคุณแม่ท่านหนึ่งยกมือไหว้แต่เพียงแขนข้างเดียว
อย่างไรก็ตาม มิสได้เชิญคุณแม่ท่านแรกเข้าไปคุยก่อนตามลำดับการนัดหมาย โดยเก็บงำความแปลกใจไว้ หลังจากคุยกับคุณแม่ท่านแรกเสร็จ จึงได้เชิญคุณแม่อีกท่านเข้ามาคุยในห้องรับรอง
… ภาพแรกที่ได้เห็นชัด ๆ ทำให้ครูสาวตกใจเล็กน้อย แขนซ้ายของคุณแม่เป็นแขนเทียม คุณแม่มาปรึกษาเรื่องการเรียนของลูก เพราะไม่ได้มาในวันนัดพบผู้ปกครองประจำปี เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ลูกเขาไม่อยากให้มา เขาบอกว่าอายพื่อนที่แม่ใส่แขนเทียม กลัวโดนเพื่อนล้อ ว่า แม่แขนเดียว แม่เป็นหุ่นยนต์หรอ อะไรนี่นะคะ เลยไม่ได้มา น้ำเสียงคุณแม่แฝงแววเอ็นดูมากกว่าที่จะโกรธหรือไม่พอใจ
มิสอุไรพร ขออนุญาตซักถามเกี่ยวกับสาเหตุที่คุณแม่ต้องใส่แขนเทียม เมื่อได้ทราบความจริง ครูสาวตัดสินใจแน่วแน่ว่าต้องจัดการเรื่องที่ลูกไม่ยอมรับและไม่เข้าใจแม่ หากปล่อยเรื่องนี้ไป… จะเป็นตราบาปอันหนักยิ่งติดตัวเด็กไปภายหน้า ทั้งตัวลูกชายและคนที่ล้อเพื่อนที่ล้อเพื่อนด้วย
ช่วงเย็นวันนั้นมีชั่วโมงลูกเสือ แต่ฝนตกหนัก มิสอุไรพร จึงได้โอกาสนำเรื่องนี้มาเล่าให้นักเรียนฟัง เรื่องราวที่ว่านั้น ความดังนี้…
วันที่ 21 สิงหาคม 2536 หลังวันแม่ไม่กี่วัน… ครอบครัวหนึ่งเดินทางไปเที่ยวนากุ้งที่จังหวัดสตูล ประกอบด้วย พ่อแม่และลูกชายอีกสามคน พวกเขาเดินชมนากุ้งไปตามทางเดินซึ่งเป็นคัดดินเล็ก ๆ ท่ามกลางบรรยากาศสดชื่นของธรรมชาติ โดยมีคุณพ่อเดินนำหน้ากับลูกชายคนโตสองคน ส่วนคุณแม่เดินตามหลังกับลูกชายคนเล็ก
ทางเดินที่เป็นคันดินนั้นมีการแบ่งเป็นท้องร่องเพื่อติดตั้งระหัดวิดน้ำซึ่ง มีใบพัดเหล็กสูงจากคันดินราว 25 ซม. คุณพ่อและลูกชายคนโตสองคนข้ามท้องร่องแล้วเดินนำต่อไปข้างหน้า ไม่มีใครฉุกคิดระวังถึงเหตุร้าย แต่แล้วลุกชายคนเล็กกลับก้าวพลาดล้มลงไปในท้องร่อง ขากางเกงเข้าไปติดกับร่องของระหัดวิดน้ำที่กำลังหมุนอยู่และฉุดขาของลูกทั้ง สองข้างเข้าไปในใบพัดเหล็ก ถ้าเป็นพวกคุณ คุณจะทำอย่างไร …
มิส หยุดเรื่องไว้ เพื่อซักถาม มองหน้านักเรียนทั้งห้องที่นั่งเงียบกริบ หน้าซีด โดยเฉพาะลูกชายของคุณแม่ท่านนั้น
แต่นักเรียนรู้มั้ยว่า คุณแม่ท่านตัดสินใจอย่างไร คุณแม่ไม่ยอมเสียเวลาคิดอะไรเลยท่านรีบดึงตัวลูกเอาไว้ แล้วเอาแขนซ้ายที่ว่างอยู่เข้าไปขวางใบพัดไว้ก่อน…
ใบพัดหมุนแขนของคุณแม่เข้าไป … คนงานที่เห็นเหตุการณ์จึงรีบปิดเครื่องแต่แรงเฉื่อยยังทำให้ใบพัดหมุนด้วย กำลังรง … แรงเสียจนกระชากแขนซ้านคุณแม่ ขาดสะบั้นลง !
คุณแม่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสสติสัมปชัญญะดับวูบลงในทันที ท้องร่องบริเวณนั้นแดงฉานไปด้วยเลือด … เลือดของแม่ …
ใบพัดเหล็กยังหมุนต่อไปอีกเล็กน้อยและบดเอาขาทั้งสองข้างของลูกชายคนเล็กจน กระดูกหัก แต่ไม่ขาด ไม่ขาดเพราะ… เพราะแขนซ้ายของแม่ขาดแทน .. ไม่ขาด เพราะแม้ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ มือขวาของแม่ยังยึดตัวลูกเอาไว้แน่น … ไม่ยอมปล่อย …
คุณพ่อและลูกคนโตทั้งสองคนหันกลับมามองตามเสียงตะโกน เอะอะโวยวายของคนงาน พร้อม ๆ กับเสียงกรีดร้องของคุณแม่ ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาช๊อกแทบสิ้นสติ … คุณพ่อรีบกระโจนพรวดเดียวถึงตัวแม่และลูกน้อย …
แต่… มันสายเกินไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ รีบพาทั้งสองส่งโรงพยาบาลทันที ผลการรักษา คุณแม่ต้องใส่แขนเทียมแทนที่ขาดไป ส่วนลูกชายคนเล็ก ที่ขาหักต้องพักฟื้นนานราวสามเดือน จึงสามารถเดินได้ เป็นปกติ
มิสอุไรพร กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง แล้วถามว่า นักเรียนคิดว่าคุณแม่ท่านนี้กล้าหาญไหมคะ เด็ก ๆ พากันตอบเป็นเสียงเดียวกันพลางพยักหน้า หลาย ๆ คนยังหน้าซีดเซียว เมื่อนึกถึงภาพเหตุการณ์ตามที่ครูเล่า
มิส มองหน้าลูกชายของคุณแม่แล้วบอกว่า … นักเรียนทราบไหมว่าคุณแม่ท่านนั้นเป็นคุณแนคุณแม่ของเพื่อนเราในห้องนี้เอง ไหน ใครเป็นลูกของคุณแม่ท่านนั้น ยืนขึ้นให้เพื่อนเห็นหน่อยสิ… เด็กคนนั้นยืนขึ้น ท่ามกลางเสียงปรบมือของเพื่อน ๆ ทั้งห้อง “วันนี้เมื่อคุณกลับไปบ้าน มิสฝากเรียนคุณแม่ด้วยว่า พวกเราชื่นชมและยกย่องท่านมาก ๆ”
มิสได้ทราบว่ามีหลาย ๆ คนไปล้อเลียนเพื่อน ไหนคนไหนบ้างคะที่เคยล้อคุณแม่เขา ถ้ามี เราลูกผู้ชายต้องกล้ารับค่ะ
มีนักเรียน 3-4 คน ยืนขึ้น ใบหน้าของแต่ละคนรู้สึกสำนึกผิด แล้วมิสก็ถามว่า ดีมากนักเรียน ตอนนี้คุณคงมีอะไรอยากจะพูดกับเพื่อนใช่มั๊ยคะ
เด็กชายกลุ่มนั้นเดินเข้าไปโอบกอดคอ แล้วกล่าวขอโทษเพื่อนด้วยความจริงใจ ครูสาวน้ำตาคลอเบ้า ยืนมองภาพนั้นด้วยความปลาบปลื้มใจ
ใครเล่า … จะเข้าใจความเจ็บช้ำ ขมขื่นในหัวใจเล็ก ๆ ของเด็กชายคนหนึ่ง ที่ถูกเพื่อนล้อเลียนประสาเด็กไม่ทันคิด
หากบัดนี้ … ความรักของแม่และน้ำใจของเพื่อน ๆ ได้สลายปมด้อยในใจของเขาไปจนสิ้น เหลือเพียงความรักและความภาคภูมิใจในตัวคุณแม่เท่านั้น
เมื่อหมดชั่วโมงเรียน มิสได้เรียกลูกชายคุณแม่ เข้าไปคุยอีกครั้ง “วันนี้เรามีอะไรในใจที่คิดว่าควรพูดกับคุณแม่ม้ยคะ” เด็กคนนั้นนิ่งคิดไปชั่วครู่ ก่อนจะตอบเสียงสั่นปนสะอื้นว่า ….
“ผม… ผม จะไปขอโทษคุณแม่ แล้ว… บอกคุณแม่ว่า ผมรักคุณแม่มากที่สุดในโลกเลยครับ”

ค่าน้ำนม